วันอาทิตย์, พฤษภาคม 16, 2553

THE LOVELY BONES: ฉันเห็นฆาตกรจากสวรรค์ (ชื่อภาษาไทยจากฉบับนิยายแปล)


นับว่าเป็นงานชิ้นที่น่าผิดหวังมากที่สุดเท่าที่ได้ดูมาเลยก็ว่าได้ สำหรับงานกำกับชิ้นล่าสุดของผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์จากไตรภาค The Lord of the Rings และ King Kong เวอร์ชั่นปี 2005 แม้ว่าในภาพรวม หนังจะไม่ได้ถึงกับย่ำแย่ แต่คงต้องโทษตัวเองด้วย ที่ตั้งความหวังไว้กับหนังเรื่องนี้ไว้ซะสูงลิบลิ่ว และถึงจะรู้อยู่แล้วว่าหนังแทบไม่มีบทบาทใดๆ บนเวทีออสการ์ 2009 ที่ผ่านมา (เข้าชิงเพียงสาขาเดียวคือ สมทบชายยอดเยี่ยม โดย Stanley Tucci) แต่ก็ยังไม่คิดว่าทิศทางของหนังจะออกมาขาดเอกภาพ และไปไม่สุดทางได้ขนาดนี้

หนังเปิดเรื่องด้วยเสียงเล่าของ Susie Salmon (Saoirse Ronan) เด็กสาววัย 14 ที่พูดถึงชีวิตแสนสุขกับครอบครัวของเธอ ที่ประกอบไปด้วย Jack Salmon (Mark Wahlberg) พ่อที่เป็นนักบัญชี และมีงานอดิเรกคือสร้างโมเดลเรือในขวดแก้ว, Abigail (Rachel Weisz) แม่ และ Lindsey (Rose McIver) กับ Buckley (Christian Thomas Ashdale) น้องสาวและน้องชายตามลำดับ ทุกคนในบ้านต่างสนิทสนมและรักกันดี กระทั่งวันที่เธอถูกฆาตกรรมโดย George Harvey (Stanley Tucci) หนุ่มใหญ่รักสันโดษที่อยู่บ้านหลังสีเขียวใกล้ๆ กัน ตัวเธอเองเมื่อรับรู้ว่าเสียชีวิตแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นห่วงคนข้างหลัง จึงติดอยู่ในแดนที่ Holly (Nikki Soohoo) เพื่อนใหม่ที่เป็นเหยื่อฆาตกรรมจากฆาตกรคนเดียวกันก่อนหน้าเธอ 2 ปี บอกว่าเป็นแดนกึ่งกลางระหว่างโลก และสวรรค์ Susie เฝ้ามองดูครอบครัวของเธอรับมือกับการสูญเสียครั้งนี้ ซึ่งพ่อและแม่ของเธอทำได้แตกต่างกันไป ขณะที่แม่ของเธอพยายามทำใจรับ แต่พ่อของเธอกลับพยายามตามหาตัวฆาตกรให้เจอ ทั้งยังให้ Grandma Lynn (Susan Sarandon) ยายของเธอมาอยู่ช่วยดูแลแม่และน้องๆ ของเธอ

หนังเล่าเรื่องราวที่ Susie ต้องเจอในแดนหลังความตาย สลับกับเหตุการณ์ที่คนข้างหลังของเธอต้องเผชิญ โดยไม่ได้โฟกัสไปที่วิธีการรับมือกับการสูญเสียเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังมุ่งไปยังประเด็นการตามหาตัวฆาตกร ซึ่งนำไปสู่การเล่าเรื่องในรูปแบบตื่นเต้นระทึกขวัญปนกันไป มองในแง่หนึ่ง มันช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับชม และการเอาใจช่วยตัวละครให้ได้รับการแก้แค้นกับตัวฆาตกรที่คนดูรู้อยู่แล้วตั้งแต่ต้นเรื่อง ซึ่งหนังทำได้เยี่ยมมากในฉากหนึ่งที่ตัวละคร Lindsey น้องสาวของ Susie บุกเดี่ยวเข้าไปหาหลักฐานในบ้านของฆาตกร แต่ทว่าเหตุการณ์ที่ตามมาหลังจากนั้น ดูเหมือนจะทำให้ฉากที่ตื่นเต้น และทรงพลังที่สุดฉากหนึ่งของเรื่องแทบจะกลายเป็นของไร้ค่า และนำพาให้ความเข้มข้นของเรื่องจมดิ่งลง เมื่อหนังเลือกที่จะหันกลับไปหาแนวทางดราม่าซาบซึ้งสะเทือนใจอีกครั้ง พร้อมกับการกลับมาบ้านของตัวละครอย่างแม่ของเธอ

ส่วนที่น่าเสียดายอีกอย่างหนึ่งก็คือการแสดง ที่ถึงแม้จะได้ทีมนักแสดงระดับรางวัลออสการ์ หรือเข้าชิงมาร่วมงานกันถึง 4 คน แต่กลับไม่มีคนไหนทำหน้าที่ได้อย่างควรจะเป็นเลย อาจยกเว้นเพียง Saoirse Ronan และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Stanley Tucci (ที่ยังไม่เคยเฉียดเวทีออสการ์เลย กระทั่งการได้เข้าชิงครั้งแรกจากบทบาทในเรื่องนี้นี่เอง)

อย่างไรก็ตาม หนังยังคงเลือกจบ และสรุปเรื่องราวด้วยบทเรียนดีๆ ที่อาจดูเป็นการยัดเยียด และจงใจสั่งสอนมากเกินไป แต่หากพิจารณาในภาพรวมแล้ว หนังก็ถือว่าทำได้ตามมาตรฐานในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะงานด้านเทคนิค ที่ยังคงน่าตื่นตาเช่นงานกำกับภาพ เป็นต้น แต่ดนตรีประกอบอาจน่าจดจำเฉพาะบาง Theme แต่นั่นก็ยังดีที่พอจะมีอะไรให้น่าพูดถึงได้บ้าง

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ1 สิงหาคม 2553 เวลา 07:54

    ถ้าเดินตามอารมณ์เหมือนหนังทั่วไป ก็ไปแค่หนังตลาด
    แต่เมื่อเลือกทางที่ต่างออกมา ผม"รู้สึก"ว่าเรื่องนี้ทำได้ดีแล้วอย่างที่ควรจะเป็น

    ดูจบแล้วรู้สึำกมีความสุข

    ตอบลบ