วันเสาร์, มิถุนายน 05, 2553

WAITING IN THE DARK: สายสัมพันธ์ในความมืดมิด

ผลงานจากผู้กำกับ ที่เคยเขียนบทให้หนังแนวสยองขวัญ ในตระกูลสับๆ ทั้งหลายอย่าง Audition (1999) ที่เคยได้รับคำชมมาแล้ว แต่เมื่อมากำกับเอง เขากลับดูจะถนัดแนวหนังดราม่า เสียมากกว่า รวมทั้งผลงานกำกับลำดับที่ 4 เรื่องนี้ของเขาในปี 2006 ก็เช่นเดียวกัน

หนังแบ่งเรื่องราวออกเป็น 3 ส่วนย่อยๆ ที่อันที่จริงคือเรื่องเดียวกันทั้งหมด เพียงแต่ในส่วนแรกจะเล่าถึงเรื่องราวที่มีตัวละครอย่าง Michiru Honma (Rena Tanaka) เป็นศูนย์กลาง เธอเป็นหญิงสาวตาบอด ที่ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อ (Ittoku Kishibe) ก่อนพ่อจะเสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน จนต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังในบ้านใกล้สถานีรถไฟที่พ่อทิ้งไว้ให้ และเหลือเพียง Kazue (Mao Miyaji) เพื่อนที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่ชั้นประถมเพียงคนเดียวที่แวะเวียนมาเยี่ยมและพาไปซื้อของอย่างสม่ำเสมอ ส่วนที่สองเป็นชีวิตของ Akihiro Oishi (Bo-lin Chen) หนุ่มลูกครึ่งจีน-ญี่ปุ่น ที่มาใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังที่นี่ แต่ดูเหมือนจะไม่มีความสุขนัก เนื่องจากเขามักจะมีปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับคนรอบข้าง นั่นรวมถึงเพื่อนร่วมงานกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่ชอบเขานัก ทั้งยังชอบเอารัดเอาเปรียบเขาในทุกวิถีทาง โดยเฉพาะ Toshio Matsunaga (Koichi Sato) หนุ่มจอมเจ้าชู้และเป็นหัวโจกของกลุ่ม ทำให้วันหนึ่งเมื่อ Toshio ถูกผลักตกรถไฟที่สถานีใกล้บ้านของ Michiru เขาจึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัย และถูกตำรวจตามล่าตัว จนต้องหนีมาหลบอยู่ในบ้านของ Michiru เงียบๆ

ส่วนที่ 3 ซึ่งเป็นส่วนสุดท้าย หนังโฟกัสไปที่เรื่องราวของตัวละครหลักทั้ง 2 ที่มาบรรจบกันในบ้านของ Michiru และค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างช้าๆ ท่ามกลางความเงียบงันในบ้าน ทว่าบางอย่างกำลังค่อยๆ ก่อตัวขึ้น พร้อมๆ กับความจริงเกี่ยวกับตัวฆาตกรตัวจริง ที่กำลังจะถูกเปิดเผย เมื่ออีกหนึ่งตัวละครสำคัญอย่าง Harumi Mishima (Haruka Igawa) เพื่อนบ้านสาวที่ทำงานอยู่ในร้านอาหารอิตาเลี่ยนเข้ามาผูกมิตร หลังจากอ้างว่าเก็บผ้าที่ปลิวไปจากราวของ Michiru ได้มาคืนให้

ต้องยอมรับว่าผู้กำกับและเขียนบท Daisuke Tengan พัฒนาเรื่องราวที่ดูเหมือนเรียบง่าย ออกมาได้อย่างชาญฉลาด ตั้งแต่บทภาพยนตร์ที่ถูกผูกโยง และเชื่อมต่อเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ไปจนถึงการกำกับที่แม้บรรยากาศจะออกมาแบบเรียบเรื่อย ชวนให้คนดูง่วงเหงาหาวนอนได้ง่าย ทว่าไม่มีช่วงไหนเลย ที่จะรู้สึกเบื่อหน่ายถึงขั้นนั้นได้ ตรงกันข้าม หนังพาคนดูให้ติดตามเรื่องราวไปได้จนจบอย่างกระตือรือร้น ผ่านความสัมพันธ์ของ 2 ตัวละครหลักที่เหมือนจะไม่มีอะไรมากมาย (กว่าทั้ง 2 จะได้เริ่มบทสนทนาแรกกันอย่างเป็นทางการ ก็ปาเข้าไปนาทีที่ 90 กว่าเข้าไปแล้ว) แต่คนดูสามารถรับรู้ได้ถึงความผูกพันที่ทั้งคู่มีให้แก่กัน โดยไม่ต้องใช้กิริยาอาการใดๆ มากไปกว่าสายตา และความรู้สึก

อาจเป็นเพราะตัวละครทั้ง 2 มีหลายอย่างคล้ายกัน และเมื่อได้มาอยู่ร่วมกัน ต่างก็เป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกันได้อย่างเหมาะเจาะ ฟังดูอาจเป็นหนังรักแบบพรหมลิขิตไปสักหน่อย แต่แทบไม่มีช่วงไหนเลยที่หนังพยายามขีดเส้นกำหนดชะตาชีวิตของทั้งคู่ไปในทางนั้น ตรงกันข้าม เมื่อคนสองคนที่เป็นคู่กัน ได้พบเจอและเรียนรู้กันและกันแล้ว เมื่อนั้นเองที่ความสัมพันธ์จะสามารถงอกงาม และผลิบานอย่างเต็มที่อย่างที่มันควรจะเป็น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น