วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 13, 2553

(500) DAYS OF SUMMER: คนที่ใช่...ของใครแ่ต่ละคน

น่าเสียดายเป็นที่สุด ที่บทหนังระดับยอดเยี่ยมเรื่องนี้ พลาดการเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมไปอย่างน่าเสียดาย เพราะนับตั้งแต่หนังรัก ระดับขึ้นหิ้งอย่าง When Harry Met Sally…(1989), Before Sunrise (1995) และ Before Sunset (2004) แล้ว ต้องนับว่านี่เป็นงานชิ้นใหม่ ที่รอคิวขึ้นแท่นหนังคลาสสิกในแนวเดียวกันนี้อย่างไม่ต้องสงสัย... ถึงแม้จะมีการออกตัวไว้ทั้งในโปสเตอร์ และบทบรรยายในฉากเปิดเรื่องก็ตามที ว่า “นี่ไม่ใช่หนังรัก!...”

เรื่องราวง่ายๆ และธรรมดาสามัญของหนังก็มีอยู่แค่ว่า Tom Hansen (Joseph Gordon-Levitt) หนุ่มออฟฟิศตำแหน่งผู้เขียนคำอวยพรในการ์ดต่างๆ ได้พบและรู้จักกับ Summer Finn (Zooey Deschanel) พนักงานสาว ผู้ช่วยคนใหม่ของหัวหน้างานในออฟฟิศเดียวกัน ทั้งคู่ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์กันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ภายใต้เงื่อนไขที่หญิงสาวตั้งไว้ว่า เธอไม่อยากมีแฟน และต้องการให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นไปในแบบเพื่อน...

ทว่าดูเหมือนนิยามของความเป็นเพื่อนระหว่างคนสองคนนี้จะแตกต่างกัน เพราะในแต่ละวัน ทั้งคู่ต่างไปไหนมาไหนด้วยกัน อยู่ด้วยกัน มี Sex กัน และทำทุกอย่างซึ่งชวนให้ Tom หรือไม่ว่าใครก็ตามคิดว่า นี่คือสิ่งที่คนเป็นแฟนกันเท่านั้นถึงจะทำได้ แต่ Summer กลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะเธอไม่เคยเชื่อในเรื่องคู่แท้ หรือคนที่ใช่ ตรงข้ามกับเขา ที่เชื่อเสมอว่าเขามีชีวิตอยู่เพื่อใครคนหนึ่ง ซึ่งมีอยู่จริง และ Summer ก็คือคนนั้นสำหรับเขา

หนังโดดเด่นที่บทภาพยนตร์ ซึ่งสื่ออารมณ์ความรู้สึกของตัวละครออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวา ราวกับเป็นชีวิตของคนจริงๆ ที่เราพบเจอได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน บทสนทนาที่เป็นธรรมชาติ และปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละครแทบทุกตัว ที่แทบมองไม่เห็นการจงใจประดิษฐ์คำพูดสวยๆ ยัดใส่ปากตัวละคร นอกจากนี้หนังยังมีดีที่สองผู้แสดงนำ ซึ่งมีเคมีที่เข้ากันได้อย่างดีเยี่ยม ระดับเดียวกับ Tom Hank & Meg Ryan (Sleepless in Seattle, You’ve Got Mail) และ Ethan Hawke & Julie Delpy (Before Sunrise, Before Sunset) เลยทีเดียว

Joseph Gordon-Levitt เหมาะอย่างยิ่งกับบทชายหนุ่มธรรมดา ที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แต่ความเป็นคนซื่อและจริงใจ ก็ทำให้เขาดูมีเสน่ห์ในตัว นั่นรวมถึงความเป็นคนเชื่อมั่นในรักแท้ ซึ่งนับเป็นบุคลิกของผู้ชายในแบบที่เรียกได้ว่า "ชายหนุ่มในอุดมคติ" ทว่ากลับเข้ากันได้ดีกับตัวตนที่เขาเป็น ขณะที่ Zooey Deschanel นั้นเรียกได้ว่าเธอเปล่งประกายยิ่งกว่าผลงานเรื่องไหนๆ ที่เคยแสดงมา ความน่ารักของเธอ บวกกับเสน่ห์แบบแปลกๆ ที่เธอสร้างสรรค์ไว้ให้กับตัวละคร ทำให้ Summer เข้าไปอยู่ในใจของชายหนุ่มได้ตั้งแต่แรกพบ และแม้ไม่ใช่ผู้หญิงในแบบที่เรียกได้ว่า "นางในฝัน" แต่เธอทำให้เชื่อได้ว่า ผู้หญิงแบบนี้แหละ ที่ชายหนุ่มหลายคนอยากอยู่ใกล้ๆ เธอมอบมีชีวิตชีวาให้กับตัวละคร และแสดงออกมาทั้งส่วนที่ดีจนชวนให้หลงรัก และส่วนร้ายๆ ที่ชวนให้คนซึ่งคิดจะมีเธอเป็นคู่ชีวิตต้องหวนคิดทบทวนดูอีกสักครั้ง ว่าใช่ผู้หญิงคนนี้แน่หรือ คือคนที่ใช่ หรืออีกนัยหนึ่ง เมื่อเธอคือคนที่ใช่สำหรับเขาแล้ว ตัวเธอเองคิดว่าเขาเป็นคนที่ใช่สำหรับเธอด้วยหรือไม่

หนังตอบโจทย์สำคัญให้กับประเด็นนี้ในช่วงท้ายเรื่องได้อย่างชัดเจน เมื่อวันที่เธอเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ที่เคยยืนยันไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง ว่าเธอและเขามีทัศนคติเกี่ยวกับความรักที่ต่างกัน นั่นเป็นเพราะเธอได้พบคนที่ “ใช่” สำหรับเธออย่างแท้จริง และเมื่อถึงเวลานั้น เงื่อนไขใดๆ ที่เธอเคยตั้งไว้ ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

ผู้กำกับ Marc Webb และผู้ตัดต่อ Alan Edward Bell คิดถูกที่เลือกวิธีการเล่าเรื่อง แบบไม่เรียงลำดับเวลา เพราะนั่นเป็นวิธีการที่รับใช้เรื่องราวอย่างได้ผล และสื่อถึงประเด็นเกี่ยวกับความรัก และการเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา รวมถึงสถานการณ์แวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรมตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดที่สุดได้แก่ เหตุการณ์ในช่วงวันแรกๆ ที่ Tom บอกกับเพื่อนๆ ว่า เขาตกหลุมรัก Summer ที่ตรงไหน กับตอนวันในช่วงท้ายๆ ที่เขาบอกเพื่อนๆ (กลุ่มเดิม) อีกเช่นกัน ว่าสิ่งเหล่านั้นนั่นเอง ที่ทำให้เขาเกลียดเธอ ซึ่งทุกอย่างที่เขาว่ามา ล้วนเป็นอย่างเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม หนังยังคงมองโลกในแง่ดีอยู่บ้าง ด้วยการเลือกจบลงที่ฉากสุดท้าย เมื่อ Tom รอสัมภาษณ์งานใหม่ และได้พบกับใครอีกคน ราวกับจะเปิดโอกาสให้ตัวเขาเองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้ามาในชีวิต ทั้งในหน้าที่การงาน และเรื่องของความรัก ซึ่งก็ไม่แน่เหมือนกันว่า "คนที่ใช่" ของเขา อาจกำลังรอให้เขาออกไปตามหา เพื่อจะได้พบเจอกันใน “ฤดูกาล” หน้าของความรัก...ก็เป็นได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น