วันอาทิตย์, พฤษภาคม 16, 2553

SHUTTER ISLAND: Stand Up Thriller by Leonardo DiCaprio


หลังจากโดนเลื่อนฉายมาข้ามปี ตั้งแต่ ต.ค. ปี 2009 จนได้มาฉายจริงในบ้านเรา เมื่อ 6 เม.ย. ที่ผ่านมานี้เอง ผลงานกำกับชิ้นล่าสุดของผู้กำกับออสการ์ Martin Scorsese และนักแสดงคู่บุญคนปัจจุบัน Leonardo DiCaprio ก็ได้โชว์ความยอดเยี่ยมให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนดูเสียที

พล็อตเรื่องคร่าวๆ ของเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ Dennis Lehane เจ้าของนิยายดังที่เคยถูกนำมาสร้างเป็นหนังชั้นดีก่อนหน้านี้อย่าง Mystic River (2003) และ Gone Baby Gone (2007) เล่าถึง Teddy Daniels (Leonardo DiCaprio) เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองปราบปรามสหรัฐฯ ที่ถูกส่งตัวมายังเกาะชัตเตอร์ (Shutter Island) ที่เป็นชื่อเรื่อง ซึ่งเป็นสถานที่กักกันนักโทษที่มีอาการทางจิต พร้อมด้วยคู่หูคนใหม่ Chuck Aule (Mark Ruffalo) เพื่อสืบเรื่องราวการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของนักโทษหญิงทื่ชื่อ Rachel (Emily Mortimer และ Patricia Clarkson) ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้เลย พิจารณาว่านี่เป็นเกาะห่างไกล และมีทางเข้าออกทางเดียวคือท่าเรื่องด้านหน้าเกาะ ทั้งยังมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาอีกด้วย

ทว่าในระหว่างการสอบสวนและขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่บนเกาะทั้งหมอที่นำโดย Dr.Cawley (Ben Kingsley) รวมถึงเจ้าที่พัสดี และพยาบาล หรือกระทั่งยาม ทุกคนล้วนให้ความร่วมมือในระดับที่น่าเคลือบแคลงสงสัย จน Teddy กับ Chuck ต้องเดินหน้าหาความจริงกันตามลำพัง โดย Teddy ยังมีปัญหาด้านภาพหลอนของ Doroles (Michelle Williams) ภรรยาที่ตายจากไปด้วยอุบัติเหตุไฟคลอก และการได้พบกับคนไข้รายหนึ่งในวอร์ด C ที่ชื่อ George Noyce (Jackie Earle Haley) ซึ่งทั้งหมดค่อยๆ นำพาให้เขาค้นพบความจริงที่คาดไม่ถึง

ส่วนที่โดดเด่นมากที่สุดในเรื่อง ต้องยกให้กับการแสดงในระดับสุดยอดอีกครั้งของ Leonardo DiCaprio อย่างไม่ต้องสงสัย เขาสามารถสะท้อนบุคลิกของตัวละครที่ติดกับความรุนแรงมาตั้งแต่สมัยเป็นทหารร่วมรบในสงครามนาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว มาจนถึงอาการประสาทหลอนเมื่อเป็นไมเกรน และต้องกินยาแอสไพริน กระทั่งการพยายามค้นหาความจริงที่เขาและคนดูต่างพากันเชื่อเขาโดยสนิทใจตั้งแต่แรก และยากมากที่จะเชื่อตามเหตุการณ์ที่พลิกผันในช่วงท้ายเรื่อง ขณะที่นักแสดงสมทบรายอื่น ก็ทำหน้าที่ได้ตามอัตภาพ แต่ต้องยอมรับว่าไม่มีใครที่ได้รับบทที่โดดเด่นเทียบเท่าเขาเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้หนังแทบจะกลายเป็นหนังโชว์เดี่ยวด้านการแสดงของ Leo ไปโดยปริยาย

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหนังจะขาดแคลนความสมบูรณ์ในด้านอื่นๆ ไปแต่อย่างใด ตรงกันข้าม งานกำกับของผู้กำกับ Scorsese ยังสามารถควบคุมอารมณ์คนดูได้อย่างอยู่หมัด และหลอกล่อคนดูให้ติดกับกับประเด็นต่างๆ ที่ถูกเล่ามาตั้งแต่ตนได้อย่างชะงัด แม้ระดับความหักมุมของเรื่องอาจยังไม่เท่าเทียมกับ The Sixth Sense และ The Others ก็ตาม โดยเฉพาะงานด้านภาพและโปรดักชั่นดีไซน์ ที่อยู่นะดับมีลุ้นชิงรางวัลปลายปีได้สบายๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น